ความเป็นมา

การศึกษาพื้นฐานเพื่อปวงชนแบบสหวิทยาเขต

               คงเป็นที่เข้าใจกันดีแล้วว่า “การศึกษาพื้นฐาน” คืออะไร แต่เพื่อให้เกิด ความเข้าใจตรงกันจึงขอกล่าวย้ำไว้อีกสักครั้งหนึ่งว่า “การศึกษาพื้นฐาน” ก็คือการ ศึกษาที่จำเป็นสำหรับปวงชน เพื่อให้เขามีความรู้ ความสามารถพอที่จะพัฒนาตนเอง ได้ต่อไปในวันข้างหน้า สามารถที่จะประกอบการงานอาชีพเลี้ยงตัวได้ และเป็นสมาชิก ที่ดีของสังคม การศึกษาขั้นพื้นฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคน

                รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กล่าวถึงการศึกษาพื้นฐานไว้ในมาตรา43 วรรคแรกว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้น พื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ โดยไม่เก็บ ค่าใช้จ่าย ” แปลความตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญได้ว่า (1) การศึกษาขั้นพื้นฐานต้องมี อย่างน้อยสิบสองปี   (2) เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดให้กับทุกคน (3) การศึกษาขั้น พื้นฐานที่รัฐจัดต้องมีคุณภาพ   และ (4) รัฐต้องไม่เก็บค่าใช้จ่ายทางการศึกษาจากผู้เรียน

                โดยนโยบายการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ระบุว่ามัธยมศึกษาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของปวงชน ดังนั้น การศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงย่อมหมายถึงการศึกษาชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ซึ่งรวมกันเป็น 12 ปี เป็นอย่างน้อย หรือกล่าวได้ว่า ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่รัฐจะต้องรับผิดชอบให้ทุกคนได้เรียนอย่างทั่วถึง ต้องจัดให้มีคุณภาพและต้องจัด แบบไม่เก็บค่าใช้จ่าย นั่นเอง ตามบทเฉพาะกาลแห่งรัฐธรรมนูญฯ รัฐจะต้องดำเนินการให้บรรลุผลภายในเวลา 5 ปี จากนี้เอง คือความคิดที่มาของการศึกษาพื้นฐานเพื่อปวงชนในรูปแบบสหวิทยาเขตซึ่งคือการพยายามเพื่อจัดรูปแบบการศึกษาใหม่เพื่อสนองเจตนารมณ์ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในเรื่องของการศึกษาพื้นฐาน คือ 

  1. ห้ทุกคนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม 
  2. ให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพใกล้เคียง หรือทัดเทียมกัน 
  3. เป็นบริการการศึกษาที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้เรียน 
  4. เนื่องจากรัฐมีทรัพยากรจำกัด รัฐจึงต้องคำนึงประสิทธิผล และประสิทธิภาพในการจัดด้วย

               ในสภาวะปัจจุบันระบบการศึกษาพื้นฐานของไทย ยังมีปัญหาอยู่หลายประการซึ่งถ้าไม่หาทางปรับปรุงแก้ไขก็ยากที่จะบรรลุเป้าหมายตามรัฐธรรมนูญในอีก 5 ปี ข้างหน้า คือ พ.ศ. 2545 ได้ ปัญหาที่สำคัญ คือ

                1. การศึกษาแต่ละระดับมีผู้รับผิดชอบหลายฝ่าย เช่น ระดับประถมศึกษา มีสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ เทศบาล (ในเขตเทศบาล) กรุงเทพมหานคร ตำรวจตระเวนชายแดนโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เอกชนองค์กรการกุศล ฯลฯ แม้ระดับมัธยมศึกษาก็มีหน่วยงานรับผิดชอบที่ หลากหลายเช่นกัน หน่วยงานเหล่านี้บางครั้งก็รับผิดชอบในพื้นที่เดียวกัน เช่น ใน เมืองใหญ่มีความซับซ้อนเป็นอันมากทำให้ระบบการศึกษาขาดประสิทธิภาพ และมี ปัญหาการจัดบริการที่ไม่ทั่วถึง พอ ๆ กับการบริการที่ซ้ำซ้อน

                2. ขาดการเชื่อมโยงในการศึกษาแต่ละระดับ เช่น ระดับประถมศึกษากับระดับมัธยมศึกษาตอนต้น   มัธยมศึกษาตอนต้นกับมัธยมศึกษาตอนปลาย และ มัธยมศึกษาตอนปลายกับอุดมศึกษา แม้ว่าประถมศึกษากับมัธยมศึกษา เป็นการศึกษา ขั้นพื้นฐานสำหรับทุกคนแต่ก็ยังมีการคัดสรรคน ทำให้บางคนขาดโอกาสได้รับการศึกษา ขาดระบบส่งทอดนักเรียนระหว่างระดับ ขาดการร่วมมือระหว่างระดับ แม้จะอยู่ใน หน่วยงานสังกัดเดียวกันก็ตาม

                3. ขาดระบบวางแผนเพื่อจัดบริการให้ทุกคนได้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพและขาดระบบการร่วมมือแลกเปลี่ยนทรัพยากร ที่มีประสิทธิภาพ เช่น มีปัญหาการ เลือกที่เรียนเป็นประจำทุกปี มีปัญหาครูขาด และปัญหาครูเกินไปพร้อม ๆ กัน มี ปัญหาคุณภาพของโรงเรียนที่แตกต่างกันมาก แม้อยู่ใกล้ชิดกันก็ตาม

               4. ขาดการมีส่วนร่วมของปวงชน โดยเฉพาะประชาชนและชุมชนรอบ ๆ โรงเรียน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ในเวลาเดียวกันก็มีบาง กลุ่มคนแสวงประโยชน์ แสดงความเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดกลุ่มอิทธิพลในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้คนบางคนได้รับสิทธิพิเศษในโรงเรียน เกิดปัญหาอามิส สินจ้าง รางวัลตามมามาก มาย เป็นผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางการศึกษา

               สหวิทยาเขต คือรูปแบบใหม่ของการจัดการศึกษา เพื่อมุ่งนำมาแก้ปัญหา ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะให้เกิดความเชื่อมโยงของการศึกษาในระดับและประเภทต่างๆ ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการศึกษาอื่น ๆ เพื่อให้บริการการศึกษาสนองตอบ ต่อความต้องการได้อย่างกว้างขวางทั่งถึง และเป็นธรรม และที่สำคัญเพื่อยกระดับให้การ ศึกษาทั้งระบบที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน

                การศึกษาระดับเดียวกัน แม้จะต่างสังกัดก็ตาม จำเป็นต้องมีระบบบริหาร เพื่อประสานการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างโรงเรียน เช่น การใช้อาคาร สถานที่ ครู บุคลากร สื่อการสอน และการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อประกันโอกาสทางการศึกษาที่ทัดเทียมกัน และแก้ปัญหาการมีทรัพยากรไม่พอเพียง 

               เชื่อว่าถ้าจัดระบบให้ดี ประเทศไทยจะมีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะบริการให้ทุกคนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ดีอย่างแน่นอน แต่ระบบที่กล่าวถึงจะมีหน้าตารายละเอียดอย่างไร คงจะต้องให้หลาย ๆ คนมาช่วย กันคิดถ้าได้คำแนะนำที่กว้างขวางหลากหลายก็คงจะทำให้ได้รูปแบบที่ดียิ่งขึ้น

            ความคิดหลัก เรื่อง รูปแบบเป็นอย่างไรจะขอกล่าวในโอกาสต่อไป

ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์ 

รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 
4 มิถุนายน 2541